เมนู

3. อัสสลายนสูตร



[613] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ผู้
มาจากแคว้นต่าง ๆ ประมาณ 500 คน พักอาศัยในพระนครสาวัตถีด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง ครั้งนั้น พราหมณ์เหล่านั้นได้คิดกันว่า พระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติ
ความบริสุทธิ์เกี่ยวกับวรรณะทั้ง 4 ใครหนอพอจะสามารถเจรจาโต้ตอบกับพระ-
สมณโคดมในคำนั้นได้ ก็สมัยนั้นแล มาณพชื่อว่าอัสสลายนะอาศัยอยู่ในพระ-
นครสาวัตถี ยังเป็นเด็กโกนศีรษะมีอายุ 16 ปีนับแต่เกิดมา เป็นผู้รู้จบไตรเพท
พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์-
อิติหาสะเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ
และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ครั้งนั้น พราหมณ์เหล่านั้นคิดกันว่า อัส-
สลายนมาณพผู้นี้ อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี ยังเป็นเด็ก ฯลฯ ชำนาญใน
คัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ เขาคงสามารถจะเจรจาโต้ตอบ
กับพระสมณโคดมในคำนั้นได้.
[614] ลำดับนั้นแล พราหมณ์เหล่านั้นพากันเข้าไปหาอัสสลายน-
มาณพถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะอัสสลายนมาณพว่า พ่ออัสสลายนมาณพผู้
เจริญ พระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์เกี่ยวกับวรรณะทั้ง 4 พ่อผู้
เจริญจงเข้าไปเจรจาโต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้น เมื่อพราหมณ์ทั้งหลาย
กล่าวแล้วอย่างนี้ อัสสลายนมาณพได้กล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคคมเป็นธรรมวาที ก็อันบุคคลผู้เป็นธรรมวาที

ย่อมเป็นผู้อันใคร ๆ จะพึงเจรจาโต้ตอบได้โดยยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเจรจา
โต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้นได้ แม้ครั้งที่ 2 พราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าว
กะอัสสลายนมาณพว่า พ่ออัสสลายนะผู้เจริญ พระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติ
ความบริสุทธิ์เกี่ยวกับวรรณะทั้ง 4 พ่อผู้เจริญจงเข้าไปเจรจาโต้ตอบกับพระ-
สมณโคคมในคำนั้น แม้ครั้งที่ 2 อัสสลายนมาณพได้กล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้น
ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคดมเป็นธรรมวาที ก็อัน
บุคคลผู้เป็นธรรมวาที ย่อมเป็นผู้อันใคร ๆ จะพึงเจรจาโต้ตอบได้โดยยาก
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเจรจาโต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้นได้ แม้ครั้งที่ 3
พราหมณ์เหล่านั้นก็ได้กล่าวกะอัสสลายนมาณพว่า พ่ออัสสลายนะผู้เจริญ พระ-
สมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์ทั่วไปแก่วรรณะทั้ง 4 พ่อผู้เจริญจง
เข้าไปเจรจาโต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้น ก็พ่ออัสสลายนะผู้เจริญได้
ประพฤติวิธีบรรพชาของปริพาชกมาแล้ว พ่ออัสสลายนะอย่ากลัวแพ้ซึ่งยังไม่
ทันรบเลย เมื่อพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพได้กล่าว
กะพราหมณ์เหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมไม่ได้แน่
ได้ทราบว่าพระสมณโคดมเป็นธรรมวาที ก็อันบุคคลผู้เป็นธรรมวาทีย่อมเป็น
ผู้อันใคร ๆ จะพึงเจรจาโต้ตอบได้โดยยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเจรจาโต้ตอบ
กับพระสมณโคดมในคำนั้นได้ ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าจักไปตามคำของท่านทั้งหลาย
[615] ลำดับนั้น อัสสลายนมาณพพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่
พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วอัสสลายนมาณพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่าน
พระโคคม พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะ
ประเสริฐ วรรณะอื่นเลว พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ

พราหมณ์เท่านั้นย่อมบริสุทธิ์ คนที่มิใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้น
เป็นบุตรพรหม เป็นโอรสพรหม เกิดแต่ปากของพรหม เกิดแต่พรหม อัน
พรหมนิรมิต เป็นทายาทของพรหมในเรื่องนี้ท่านพระโคดมจะตรัสว่าอย่างไร.
[616] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า อัสสลายนะ ก็นางพราหมณี
ของพราหมณ์ทั้งหลาย มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดบุตรบ้าง ให้บุตรดื่ม
น้ำนมบ้าง ปรากฏอยู่ ก็พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดจากช่องคลอดเหมือนกัน ยัง
กล่าวอย่างนี้ว่าพราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะอื่นเลว...อัน
พรหมนิรมิตเป็นทายาทของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย
ก็ยังเข้าใจอยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท
ของพรหม.
[617] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านได้ฟังมาแล้วหรือว่า ในแคว้นโยนก แคว้นกัมโพช และในปัจจันตชน-
บทอื่น ๆ มีวรรณะอยู่ 2 วรรณะเท่านั้น คือ เจ้าและทาส เป็นเจ้าแล้วกลับ
เป็นทาส เป็นทาสแล้วกลับเป็นเจ้า.
อ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนั้นว่า ในแคว้น
โยนกแคว้นกัมโพช และในปัจจันตชนบทอื่น ๆ มีวรรณะอยู่ 2 วรรณะเท่านั้น
คือ เจ้าและทาส เป็นเจ้าแล้วกลับเป็นทาส เป็นทาสแล้วกลับเป็นเจ้า.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดี
ของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ
ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.

อ. ท่านพระโคคมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้ง
หลายก็ยังเข้าใจอยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็น
ทายาทของพรหม.
[618] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
กษัตริย์ เท่านั้นหรือ เป็นผู้มีปรกติฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก มีจิตพยาบาท มี
ความเห็นผิด เมื่อคายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พราหมณ์ไม่
เป็นอย่างนั้น แพศย์เท่านั้นหรือ.. .ศูทรเท่านั้นหรือ เป็นผู้มีปรกติฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
โลภมาก มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิดเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก พราหมณ์ไม่เป็นอย่างนั้น.
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์
ผู้มีปรกติฆ่าสัตว์...มีความเห็นผิด เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้พราหมณ์ . . . แม้แพศย์. . . แม้ศูทร . .
ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ. ความจริง แม้วรรณะ 4 ผู้มีปรกติฆ่าสัตว์. . .มีความ
เห็นผิด เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกทั้งหมด.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความ
ยินดีของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะ
ประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้ง
หลายก็ยังเข้าใจอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท
ของพรหม.

[619] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พราหมณ์เท่านั้นหรือหนอ ผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จาก
การประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำ
หยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภมาก ไม่มีจิตพยาบาท มีความเห็นชอบ
เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ กษัตริย์ไม่พึงเป็นเช่นนั้น แพศย์ไม่พึง
เป็นเช่นนั้น ศูทรไม่พึงเป็นเช่นนั้น.
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคคม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์
ผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์. ..มี่ความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ข้าแต่ท่านพระโคคม แม้พราหมณ์. . . แม้แพศย์. . . แม้ศูทร. . .ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ความจริง แม้วรรณะ 4 ผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์. . .มีความ
เห็นชอบ เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ทั้งหมด.
พ. อัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของ
พราหมณ์ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็น
ทายาทของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ก็ยัง
เข้าใจอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของ
พรหม.
[620] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ในประเทศนั้น พราหมณ์เท่านั้นหรือหนอ ย่อมสามารถเจริญเมตตาจิตอัน
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน [ส่วน] กษัตริย์ไม่สามารถ แพศย์ไม่สามารถ.
ศูทรไม่สามารถ.

อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม ในประเทศ
นั้น แม้กษัตริย์ก็สามารถเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้พราหมณ์ . . . แม้แพศย์. . . แม้ศูทร . . . ข้าแต่
ท่านพระโคดมผู้เจริญ ความจริงในประเทศนั้น แม้วรรณะ 4 ก็สามารถเจริญ
เมตตาจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนได้ทั้งหมด.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความ
ยินดีของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะอัน
ประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์
ทั้งหลายก็ยังเข้าใจอย่างนี้ พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็น
ทายาทของพรหม.
[621] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พราหมณ์เท่านั้นหรือหนอ ย่อมสามารถถือเอาเครื่องสีตัวสำหรับอาบน้ำ แล้ว
ลอยละอองและธุลีได้ กษัตริย์ไม่สามารถ แพศย์ไม่สามารถ ศูทรไม่สามารถ.
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์
ก็ย่อมสามารถถือเอาเครื่องสีตัวสำหรับอาบน้ำ แล้วลอยละอองและธุลีได้ ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ แม้พราหมณ์ . . . แม้แพศย์ . . แม้ศูทร . . ข้าแต่พระ-
โคดมผู้เจริญ ความจริง แม้วรรณะ 4 ก็ย่อมสามารถถือเอาเครื่องสีตัวสำหรับ
อาบน้ำ แล้วลอยละอองและธุลีได้ทั้งหมด.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความ
ยินดีของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะ
ประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.

อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย
ก็ยังเข้าใจอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท
ของพรหม.
[622] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พระราชาในโลกนี้ เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว จะพึ่งทรงเกณฑ์บุรุษ
ผู้มีชาติต่าง ๆ กัน 100 คนให้มาประชุมกันแล้วตรัสว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย
ในจำนวนบุรุษเหล่านั้น บุรุษเหล่าใดเกิดแต่สกุลกษัตริย์ แต่สกุลพราหมณ์
แต่สกุลเจ้า บุรุษเหล่านั้นจงถือไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทร์ หรือไม้
ทับทิมเอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้วจงสีให้ไฟลุกโพลง อนึ่ง มาเถิดท่านทั้งหลาย
ในจำนวนบุรุษเหล่านั้น บุรุษเหล่าใดเกิดแต่สกุลจัณฑาล แต่สกุลพราน แต่
สกุลจักสาน แต่สกุลช่างรถ แต่สกุลคนเก็บขยะ บุรุษเหล่านั้นจงถือเอาไม้
รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่งเอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้ว
จงสีให้ไฟลุกโพลง ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ไฟที่บุรุษทั้งหลายผู้เกิดแต่สกุลกษัตริย์ แต่สกุลพราหมณ์ แต่สกุลเจ้า ถือเอา
ไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทน์ หรือไม้ทับทิม เอามาทำเป็นไม้สีไฟ
แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้นเท่านั้นหรือหนอ พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง
และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้ ส่วนไฟที่บุรุษทั้งหลายผู้เกิดแต่สกุลจัณฑาล
แต่สกุลพราน แต่สกุลจักสาน แต่สกุลช่างรถ แต่สกุลคนกวาดถนน ถือเอา
ไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง เอามาทำเป็นไม้สีไฟ
แล้วสีไฟให้ลุกโพลงขึ้นนั้น พึงเป็นไฟไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีแสงสว่าง และ
ไม่อาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้น.
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคคม ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ แม้ไฟที่
บุรุษทั้งหลายผู้เกิดแต่สกุลกษัตริย์... แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้น ก็พึงเป็นไฟ

มีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้ แม้ไฟที่บุรุษ
ทั้งหลายผู้เกิดแต่สกุลจัณฑาล ... แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้น ก็พึงเป็นไฟมีเปลว
มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ความจริง แม้ไฟทุกอย่างก็พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจ
ที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้หมด.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความ
ยินดีของพราหมณ์ทั้งหลายผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะ
ประเสริฐ... เป็นทายาทของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย
ก็ยังเข้าใจอยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท
ของพรหม.
[623] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ขัตติยกุมารในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณี เพราะอาศัยการอยู่
ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรแต่นางพราหมณีกับขัตติยกุมารนั้น เหมือน
มารดาก็ดี เหมือนบิดาก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่าเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์
บ้างหรือ.
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุตรผู้เกิดแต่นางพราหมณีกับขันติยกุมาร
นั้น เหมือนมารดาก็ดี เหมือนบิดาก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง
เป็นพราหมณ์บ้าง.
[624] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พราหมณ์กุมารในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางกษัตริย์ เพราะอาศัยการ
อยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตร บุตรผู้เกิดแต่นางกษัตริย์กับพราหมณ์

กุมารนั้นเหมือนมารดาก็ดี เหมือนบิดาก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง
เป็นพราหมณ์บ้างหรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุตรผู้เกิดแต่นางกษัตริย์กับพราหมณ์กุมารนี้
ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้าง.
[625] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน
ในโลกนี้ เขาพึงผสมแม่ม้ากับพ่อพา เพราะอาศัยการผสมแม่ม้ากับพ่อฬานั้น
พึงเกิดลูกม้า แม้ลูกม้าที่เกิดแต่แม่ม้ากับพ่อฬานั้น เหมือนแม่ก็ดี เหมือนพ่อ
ก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นม้าบ้าง เป็นฬาบ้างหรือ.
อ. ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ แม้ลูกผสมนั้นก็ย่อมเป็นม้าอัสดร ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ เรื่องของสัตว์นี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าต่างกัน แต่ในนัยต้น ใน
เรื่องของมนุษย์เหล่าโน้น ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ต่างอะไรกัน.
[626] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน
ในโลกนี้ พึงมีมาณพสองคน เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน คนหนึ่งเป็นคน
ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์แนะนำ คนหนึ่งไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์
ไม่ได้แนะนำ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลายพึงเชื้อเชิญคนไหนให้บริโภคก่อน
ในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อเป็นบรรณาการก็ดี ในการเลี้ยง
เพื่อบูชายัญก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี.
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลายพึงเชื้อ-
เชิญมาณพผู้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์แนะนำ ให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยง
ของผู้มีศรัทธาก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อเป็นบรรณาการก็ดี ให้การเลี้ยงเพื่อบูชายัญ
ก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ ของที่ให้ในบุคคล
ผู้ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์มิได้แนะนำ จักมีผลมากได้อย่างไรเล่า.

[627] พ. ดูก่อนอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน
ในโลกนี้ พึงมีมาณพสองคน เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน คนหนึ่งเป็นคน
ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์แนะนำ แต่เป็นคนทุศีล มีธรรมอันลามก คนหนึ่ง
ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์มิได้แนะนำ แต่เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม
ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลายพึงเชื้อเชิญคนไหนให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยง
ของผู้มีศรัทธาก็ดี... ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี.
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลายพึง
เชื้อเชิญมาณพผู้ได้ได้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์ไม่ได้แนะนำ แต่เป็นคนมีศีล
มีกัลยาณธรรม ให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี. . ในการ
เลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ของที่ให้ในบุคคลผู้ทุศีล
มีธรรมอันลามกจักมีผลมากอะไรเล่า.
พ. ดูก่อนอัสสลายนะ เมื่อก่อนท่านได้ไปยังชาติ ครั้นไปยังชาติ
แล้วได้ไปในมนต์ ครั้นไปในมนต์แล้ว กลับเว้นมนต์นั้นเสีย แล้วกลับมายัง
ความบริสุทธิ์เกี่ยวกับวรรณะทั้ง 4 ที่เราบัญญัติไว้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพนิ่งเฉย
เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ.
[628] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า อัสสลายน
มาณพนิ่งเฉย เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงได้ตรัสกะ
อัสสลายนมาณพว่า ดูก่อนอัสสลายนะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์ฤาษี 7
ตน มาประชุมกันที่กระท่อมอันมุงบังด้วยใบไม้ไนราวป่า เกิดมีทิฐิอันลามก
เห็นปานนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของ
พรหม ดูก่อนอัสสลายนะ อสิตเทวละฤาษีได้สดับข่าวว่า พราหมณ์ฤาษี 7
ตน มาประชุมกันที่กระท่อมอันมุงบังด้วยใบไม้ เกิดทิฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า

พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม ดังนี้
ลำดับนั้นแล อสิตเทวละฤาษีปลงผมและหนวด นุ่งผ้าสีแดงอ่อน สวมรองเท้า
สองชั้น ถือไม้เท้าเลี่ยมทอง ไปปรากฏในบริเวณบรรณศาลาของพราหมณ์
ฤาษี 7 ตน ดูก่อนอัสสลายนะ ครั้งนั้นแล อสิตเทวละฤาษีเดินไปมาอยู่ใน
บริเวณของพราหมณ์ฤาษี 7 ตน กล่าวอย่างนี้ว่า เออท่านพราหมณ์ฤาษี
เหล่านี้ไปไหนกันหมดหนอ เออท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหนกันหมดหนอ
ดูก่อนอัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ได้กล่าวกะอสิตเทวละ
ฤาษีว่า ใครหนอนี่เหมือนเด็กชาวบ้านเดินไปมาอยู่ที่บริเวณบรรณศาลาของ
พราหมณ์ฤาษี 7 ตน กล่าวอย่างนี้ว่า เออท่านพราหมณ์ฤาษีเหล่านี้ไปไหน
กันหมด เออท่านพราหมณ์เหล่านี้ไปไหนกันหมด เอาละเราทั้งหลายจักสาป
แช่งมัน ดูก่อนอัลสลายนะ ลำดับนั้น พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันสาปแช่ง
อสิตเทวละฤาษีว่า มันจงเป็นเถ้าเป็นจุณไป จงเป็นเถ้าเป็นจุณไป จะเป็น
เถ้าเป็นจุณไป ดูก่อนอัสสลายนะ พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันสาปแช่งอสิต
เทวละฤาษีด้วยประการใด ๆ อสิตเทวละฤาษีกลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่า
ดูกว่า และเป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้น ๆ ดูก่อนอัสสลายนะ ครั้ง
นั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ได้มีความคิดกันว่า ตบะของเราทั้งหลายเป็น
โมฆะหนอ พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายไม่มีผล ด้วยว่า เมื่อก่อนเราทั้งหลาย
สาปแช่งผู้ใดว่า เจ้าจงเป็นเถ้าเป็นจุณไป ผู้นั้นบางคนก็เป็นเถ้าไป แต่ผู้นี้เรา
ทั้งหลายสาปแช่งด้วยประการใด ๆ เขากลับเป็นผู้มีรูปงามกว่า เป็นผู้น่าดูกว่า
และเป็นผู้น่าเลื่อมใสกว่า ด้วยประการนั้น ๆ อสิตเทวละฤาษีกล่าวว่า ตบะ
ของท่านผู้เจริญทั้งหลายเป็นโมฆะก็หามิได้ และพรหมจรรย์ของท่านผู้เจริญ
ทั้งหลายไม่มีผลก็หามิได้ เชิญท่านผู้เจริญทั้งหลายจงละความคิดประทุษร้ายใน
เราเสียเถิด.

ฤา. เราทั้งหลายย่อมละความคิดประทุษร้าย ท่านเป็นใครหนอ.
เท. ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้ยินชื่ออสิตเทวละฤาษีหรือไม่.
ฤา. ท่านผู้เจริญ เราทั้งหลายได้ยินชื่ออย่างนั้น.
เท. ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย เรานี่แหละอสิตเทวละฤาษีนั้น.
ดูก่อนอัสสลายนะ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ฤาษี 7 ตน พากันเข้าไป
หาอสิตเทวละฤาษีเพื่อจะไหว้ อสิตเทวละฤาษีได้กล่าวกะพราหมณ์ฤาษี 7 ตน
ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้สดับข่าวนี้มาว่า พราหมณ์ฤาษี 7
ตน มาประชุมในกระท่อมอันมุงบังด้วยใบไม้ในราวป่า เกิดทิฐิอันลามกเห็น
ปานนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะอื่นเลว พราหมณ์
เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ ผู้มิใช่พราหมณ์
ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตรของพรหม เป็นโอรสของพรหม เกิด
แต่ปากพรหม เกิดแต่พรหม อันพรหมนิรมิต เป็นทายาทของพรหม ดังนี้
จริงหรือ พราหมณ์ฤาษี 7 ตน ตอบว่า จริงอย่างนั้นท่านผู้เจริญ.
เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า มารดาบังเกิดเกล้าได้แต่งงานกับ
พราหมณ์เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกะชายผู้มีใช่พราหมณ์เลย.
ฤา. ข้อนี้ไม่ทราบเลย ท่านผู้เจริญ
เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า มารดาของมารดาบังเกิดเกล้า
ตลอด 7 ชั่วย่ายายของมารดา ได้แต่งงานกับ พราหมณ์เท่านั้น ไม่ได้แต่งงาน
กะชายผู้มีใช่พราหมณ์เลย.
ฤา. ข้อนี้ไม่ทราบเลย ท่านผู้เจริญ.
เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า บิดาบังเกิดเกล้าได้แต่งงานกับ
นางพราหมณีเท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกะหญิงผู้มิใช่นางพราหมณีเลย.
ฤา. ข้อนี้ไม่ทราบเลย ท่านผู้เจริญ.

เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า บิดาของบิดาบังเกิดเกล้า ตลอด
7 ชั่วปู่ตาของบิดา ได้แต่งงานกะนางพราหมณีเท่านั้น ไม่ได้แต่งงานกะหญิง
ผู้มิใช่นางพราหมณีเลย.
ฤา. ข้อนี้ไม่ทราบเลย ท่านผู้เจริญ.
เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายรู้หรือว่า การตั้งครรภ์จะมีได้ด้วยอาการ
อย่างไร
ฤา. ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ว่า การตั้งครรภ์จะมีได้
ด้วยอาการอย่างไร คือ ในโลกนี้ มารดาและบิดาอยู่ร่วมกัน 1 มารดามี
ระดู 1 สัตว์ผู้จะเกิดในครรภ์ปรากฏ 1 การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะความประชุม
พร้อมแห่งเหตุ 3 ประการอย่างนี้.
เท. ก็ท่านผู้เจริญทั้งหลายอ้อนวอนได้หรือว่า ได้โปรดเถิด ขอสัตว์
ที่เกิดในครรภ์จงเป็นกษัตริย์ จงเป็นพราหมณ์ จงเป็นแพศย์ หรือว่าจงเป็น
ศูทร.
ฤา. ดูก่อนท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายอ้อนวอนอย่างนั้นไม่ได้เลย.
เท. เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายจะรู้ได้หรือว่า ท่าน
ทั้งหลายเป็นพวกไหน.
ฤา. ดูก่อนท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่างนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายไม่รู้เลยว่า
ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพวกไหน.
ดูก่อนอัสสลายนะ ก็พราหมณ์ฤาษี 7 ตนนั้น อันอสิตเทวละฤาษี
ซักไซ้ไล่เลียง ไต่ถามในวาทะปรารภชาติของตนย่อมตอบไม่ได้ ก็บัดนี้ ท่าน
อันเราซักไซ้ไล่เลียง ไต่ถามในวาทะปรารภชาติของตน จะตอบได้อย่างไร
ท่านเป็นศิษย์มีอาจารย์ ยังรู้ไม่จบ เป็นแต่ถือทัพพี.

[629] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้
ถึงสรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบ อัสสลายนสูตรที่ 3.

อรรถกถาอัสสลายนสูตร



อัสสลายนสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพระสูตรนั้น คำว่า นานาเวรชฺชกามํ ได้แก่ ผู้ที่มาจากแคว้น
ต่าง ๆ มีอังคะและมคธ เป็นต้น โดยประการต่าง ๆ กัน อีกอย่างหนึ่ง
ความว่า ผู้เกิดแล้วเจริญแล้ว ในแคว้นเหล่านั้นก็มี. บทว่า เกนจิเทว
คือด้วยกิจที่มิได้กำหนดมีการบูชายัญเป็นต้น. บทว่า จาตุวณฺณึ คือทั่วไป
แก่วรรณะ 4. ก็เราทั้งหลายกล่าวว่า พราหมณ์ทั้งหลายย่อมสาธยายมนต์เพื่อ
ชำระล้างให้บริสุทธิ์บ้าง เพื่อความบริสุทธิ์แห่งภาวนาบ้าง จึงสำคัญว่า พระ-
สมณโคดมกระทำแม้สิ่งที่ไม่สมควร จึงคิดกันอย่างนั้น. บทว่า วุตฺตสิโร คือ
ปลงผม. บทว่า ธมฺมวาที ความว่า พูดวามภาวะของตน. บทว่า ทุปฺปภิ-
มนฺติยา
ความว่า อันผู้กล่าวไม่เป็นธรรมเช่นเราจะพึงโต้ตอบได้โดยยาก.
ท่านแสดงว่า ไม่อาจทำให้ผู้กล่าวเป็นธรรมแพ้ได้. บทว่า ปริพฺพาชกํ ได้แก่
วิธีบรรพชา. พราหมณ์เหล่านั้น สำคัญอยู่ว่า ผู้ที่เรียนพระเวทสามแล้วบวช
ในภายหลังคนอื่นทั้งหมด ย่อมบวชด้วยมนต์ใด ครั้นบวชแล้ว ย่อมบริหาร
มนต์เหล่าใด ย่อมประพฤติอาจาระใด สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันท่านผู้เจริญเรียน
แล้วศึกษาแล้ว เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านจะไม่แพ้ ท่านจักมีแต่ชนะอย่างเดียว
ดังนี้ จึง กล่าวอย่างนั้น.
คำว่า ทิสฺสนฺเต โข ปน ดังนี้ เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อทำลายลัทธิ
ของพราหมณ์เหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า พฺราหฺมณิโย ได้แก่ ใครๆ
ก็เห็นนางพราหมณีที่นำนาจากตระกูลเพื่อให้บุตรของพราหมณ์ (แต่งงาน) ด้วย
การอาวาหะ และวิวาหมงคล แต่นางนั้นโดยสมัยอื่นมีฤดู หมายความว่า เกิด